“แจม รชตะ – ฟิล์ม ธนภัทร” คนละขั้วแต่ลงตัว ทำงานจนรู้ใจ ไม่คิดจะมาไกลขนาดนี้

ฮอตมาแรง! “แมคเคนยู” ผู้รับบท “โซโร” ใน “วันพีซ” One Piece Live Action

ยังคงได้รับความนิยมและครองใจแฟนๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศ สำหรับ“แจม – รชตะ หัมพานนท์และ “ฟิล์ม – ธนภัทร กาวิละ” คู่จิ้นสุดฮอต หวนกลับมาเจอกันอีกครั้งใน Law of attraction กฎแห่งรักดึงดูดที่เพิ่งลาจอไปอย่างประทับใจสมการรอคอย

“แจม รชตะ” ชีวิตเปลี่ยนหลังปังข้ามคืน ขอตอบแทนพระคุณ “ย่า” ปลดหนี้หลักแสนให้

เท่านั้นไม่พอ แฟนคลับยังได้ใช้เวลาดีๆ ร่วมกับพวกเขาในงานแฟนมีตติ้ง JAMFILM INFINITY DAYที่เต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์และความทรงจำดีๆปังขนาดนี้ “พีพีทีวี”ไม่พลาดพาทั้งคู่มาพูดคุยล้วงลึกถึงการทำงานและแอบถามถึงผลงานในอนาคตมาฝากแฟนๆ ด้วยคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

กับแฟนมีต JAMFILM INFINITY DAY เป็นยังไงบ้าง?

แจม : “ก็ยังตื่นเต้นอยู่ (ยิ้ม) เราเตรียมโชว์มานานพอสมควร โชว์บางอย่างเราก็ไม่เคยทำมาก่อน ก็เป็นเซอร์ไพรส์ครับ แล้วก็ได้ดูละครตอนจบด้วยกันด้วย ก็เป็นโมเมนต์ที่อยากให้ทุกคนจดจำ”

ฟิล์ม : “อยากให้ทุกคนมีความสุขแบบไม่รู้จบ ตามชื่องานเลยครับ (ยิ้ม) พวกเราตั้งใจมากๆ และก็มาร่วมกันส่งท้ายตัวละครที่จะย้ายไปอยู่ในความทรงจำของพวกเราและแฟนๆ ครับ ”

ฟีดแบคละคร “Law of attraction กฎแห่งรักดึงดูด” ดีมาก?

แจม : “ดีครับแฟนๆ ก็ชอบกันเยอะแยะมากมายเลยครับ คนที่เฝ้ารอคอยซีรีส์เรื่องนี้ก็เขาก็ดีใจที่ได้เห็นบทบาทใหม่ๆ ของพวกเรา ก็ดีใจครับทวีตกันยาวเลยตั้งแต่วันแรกที่อีพีแรกทะลุ 2 แสน เขาก็ชอบในบทบาทของพวกเราก็ดีใจที่พวกเราได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งหนึ่ง”

ฟิล์ม : “แฟนๆ ก็ให้การตอบรับดีเกินคาด เหมือนหลายคนก็รอคอยให้พวกเรา ดีใจครับที่ทำให้คนดูมีความสุขไปกับการดูซีรีส์ของพวกเรา”

เรื่อง “คุณชาย” ได้ทำอะไรใหม่ๆ แต่พอมาเรื่องนี้เป็นยังไงบ้าง?

ฟิล์ม : “มันก็ยิ่งสนุกขึ้นไปอีก (แทบจะไม่มีกรอบแล้ว?) ใช่ ก็ผมอยากเล่นแล้วผมได้หมดเลย ผมรู้สึกว่าผมสนุกกับมัน ไม่รู้ในความรู้สึกส่วนตัวนะผมรู้สึกว่าผมดำดิ่งไปแล้วมีแต่ความสนุก ยิ่งลึกลงไปเท่าไหร่มันยิ่งสนุกอ่ะยิ่งบางทีลงไปก้นบึ้งหัวใจของความชั่วร้ายหรือแบบของอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครมันยิ่งเอ็นจอย ไม่เครียดเลย (แต่บทมันดูเครียด?) ไม่เครียดเลย”

กลับมาเจอกันครั้งนี้พอมาเล่นด้วยกันอีกมันง่ายขึ้นกว่าเดิมไหม?

แจม : “ผมว่ามันรู้ใจกันมากขึ้นมากกว่า คือพอมันอยู่ด้วยกันมันไม่ต้องเดาอะไรกัน พอมันไม่ต้องมาเดานี่จะถูกใจกันไหมหรือจะอะไรหรือเปล่าคือมีอะไรก็ถามมันก็บอกกัน ไม่ใช่เฉพาะพี่ฟิล์ม ผู้กำกับก็เคยร่วมงานกันมาก่อนเขาก็จะรู้ว่า อ๋อ มันเป็นแบบนี้แหละธรรมชาติของแจม ของพี่ฟิล์มเป็นแบบนี้แหละ เรามีวิธีไหนที่จะทำให้เขาแสดงออกมาให้มันในสิ่งที่พี่บอกอยากได้จริงๆ เขาก็จะมีวิธีนี้ของเขา มันก็ทำงานกันง่ายขึ้น”

ที่ว่ารู้ใจเรารู้อะไรเขาบ้าง?

แจม : “ก็หลายๆ อย่าง พี่เขาเป็นคนจริงใจในการทำงาน เราก็ต้องรู้ตัวเองว่าเราต้องทำการบ้านทำอะไรของเราไป แล้วก็เล่นก็หลุดๆกันนิดๆหน่อยๆบ้างอะไรยังไงก็ต้องขอโทษกันไป แต่ก่อนก็เป็นคนแบบแข็งๆไม่ค่อยไม่ค่อยสนใจใครเนี่ยก็จะกลายเป็นเออก็ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่พี่เขาก็จะสอน อยู่ด้วยกันต้องแบบนั้นแบบนี้นะ ไม่ใช่เฉพาะพี่ฟิล์ม โดยเฉพาะคนอื่นด้วยเกี่ยวกับคนอื่นด้วยอยู่กับทีมงานอยู่กับพี่ๆคนอื่นๆอย่างงี้ครับ”

ความในใจที่ได้ร่วมงานกันอีก?

ฟิล์ม : “(ยิ้ม) แจมก็โตขึ้นโตขึ้นในมุมของการอยู่ร่วมกับคนอื่นในมุมของการทำงานก็ได้เห็นว่าเขาได้เรียนรู้มากขึ้นว่าสิ่งที่เราสอนไปเขาก็เอาไปใช้บ้างไม่ใช้บ้าง (หัวเราะ) เอาเป็นว่าคือเขาก็โตขึ้นนั่นแหละทั้งในเรื่องของการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นแล้วก็ในการทำงานก็ได้เห็นว่ามีความพัฒนาการของน้องที่ดีขึ้นเป็นไปในแนวโน้มที่ดีขึ้น”

‘ฟิล์ม” เป็นคนที่จริงจังกับการใช้ชีวิตและทำงานถ้าสอนน้องแล้วไม่ฟังเราจะรู้สึกยังไง?

ฟิล์ม : “ปลง (ยิ้ม)”

“แจม” รู้ไหมว่าเขาปลง?

แจม : “เขาก็ปล่อยวาง ผมก็ฟังผมแต่บางครั้งผมรีแอคแบบนั้นเฉยๆก็ฟังอยู่ (หัวเราะ)”

ฟิล์ม : “เราก็เข้าใจหมายถึงว่าคือพอมันอยู่ด้วยกันนานมันอย่างที่บอกคือมันเริ่มเข้าใจตัวตนของกันและกัน มันก็แค่ อ๋อ เป็นแบบนี้แหละ โอเคสอนไปมันไม่มันไม่ทำมันไม่ฟังไม่พูดแล้วกันแต่ไม่ได้รู้สึกโกรธหรืออะไรแค่แบบ เฮ้ย เราให้ความหวังดีแล้วนะ ส่วนคนที่ได้รับคำแนะนำไปเขาจะนำไปปรับปรุงไหมหรือไม่ไปปรับปรุงมันเรื่องของเขาถ้าเขาไม่ปรับปรุงชีวิตเขาก็อยู่ที่เดิมถ้าเขาปรับปรุงชีวิตเขาก็ดีขึ้นผมก็คิดแค่นี้”

เรารู้ไหมว่าถ้าเราไม่ปฏิบัติตามเขาจะมีรีแอ็คมายังไง?

แจม : “การปฏิบัติตามมันก็มันมีหลายวิธี เวลาเขาแนะนำครับพี่ขอบคุณครับ แต่ผมก็คิดอยู่ว่ามันเข้ากับเราหรือเปล่า มันเราจะไปปรับแบบไหนอย่างนี้ คือด้วยธรรมชาติแต่ละคนมันคนละแบบกันไง ผมอาจจะฟังแหละแต่วิธีทำผมมันอีกแบบนึง พี่เขาอาจจะสอน ณ ตอนนี้แล้วถ้าเกิดพี่เขาเป็นคนที่สอนปุ๊บแล้วพี่ก็ทำเลย แต่ผมเป็นคนที่สอนก่อนแล้วผมจะประมวลก่อนแล้วผมจะเอากลับไปทำคนเดียวตอนที่ผมมีสติมากกว่า เห็นไหมธรรมชาติมันคนละแบบกัน พออยู่ด้วยกันไปแล้ว อย่างที่พี่ฟิล์มบอกมันก็จะเหมือนรู้จักกันในตัวตนของแต่ละคนมากขึ้น”

“ฟิล์ม” คิดว่าเขาดื้อไหม?

ฟิล์ม : “ดื้อ”

แจม : “ผมดื้อตรงไหน”

ฟิล์ม : “ทุกตรง คนดื้อเงียบ ดื้อแบบไม่รู้ตัวเองว่าตัวเองดื้อ สังเกตเขาจะปิดประโยคว่าผมก็เป็นของผมแบบนี้แหละ นี้คือความดื้อแล้วเขาเป็นคนดื้อที่ไม่รู้ตัวเองว่า ดื้อเงียบ”

“ฟิล์ม” มีวิธีดูแลน้องยังไง เวลาดื้อเงียบ?

ฟิล์ม : “ผมปลง (หัวเราะ) ตอนแรกโกรธ หลังๆ ปลง เพราะเข้าใจว่าเป็นแบบนี้ (น้องใช้เวลาปรับนานไหม?) บางเรื่องก็ทำได้ บางเรื่องก็ทำไม่ได้ อย่างที่บอกแหละครับว่า แต่ละคนมีตัวตนของตัวเอง บางสิ่งบางอย่างเราก็เข้าใจเขาว่า เขาเป็นแบบนี้นะ เขาโตมาแบบนี้ เขาเจอแบบนี้มา เขาอาจจะปรับไดเท่านี้ ผมเข้าใจเขามากขึ้นมากกว่า ถ้าถามมุมผมว่าเขาเป็นเด็กดื้อไหม ดื้อ ดื้อมาก ที่ใช้คำว่ามากเพราะบางสิ่งบางอย่างเขาไม่รู้ว่าเขากำลังต่อต้าน บางสิ่งบางอย่างสอนไปแล้วเท่าเดิม มันมีบางอย่างที่เรารู้สึกว่าอันนี้มันดีต่อเขา แต่เขาไม่ทำเลยก็มี แล้วเขาก็จะปิดประโยคว่า ‘ผมเป็นแบบนี้พี่’ ‘ผมมีวิธี’ คือหนึ่งปีผ่านไปก็เป็นเหมือนเดิม แบบนี้คือดื้อ แต่มันก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขานำคำพูดของเราไปปรับปรุงแล้วก็เติบโตขึ้น แต่ผมแค่จะบอกว่าเขาดื้อ แต่แค่เขาไม่รู้ตัวว่าดื้อ สรุปแล้วคือแจมดื้อ ไม่ใช่พี่ (หันไปบอกน้อง) แล้วสรุปแล้วคือผมปลง ต้องใช้คำนี้ผมปลงแล้ว (ยิ้ม) ณ วันนี้ก็ยังมีบอก มีเตือนเขาบ้าง แต่บางสิ่งบางอย่างที่พูดเยอะแล้วขี้เกียจพูดอีกก็มี ก็ปลงครับ ถ้าให้ยกตัวอย่างก็ ‘ความชิลล์ของแจม’ เขาจะมีความนิดนึงๆ กว่าจะไป กว่าจะลุก นาน แรกๆ ก็แบบทำไมนานจังเลย หลังๆ ผมไปก่อนแล้ว ไปรอที่โน่นเลยเพราะรู้ว่านาน”

แจม : “เราก็ไปเรื่อยๆ ของเรา (หัวเราะ) บางครั้งผมก็เดินเล่นๆ ไปรอก่อน ตอนไหนรับๆ ก็วิ่งเอา ค่อยว่ากัน”

ซึมซับอะไรในความเป็นตัวพี่เขามาบ้าง?

แจม : “ถ้าเป็นเรื่องการทำงาน ผมก็สังเกตเขาแหละว่ามีวิธีการทำงานยังไง เวลาฟังบรีฟเขาทำยังไงถึงข้าใจในสิ่งที่ผู้กำกับเขาบรีฟมาแล้วต้องการอะไร พี่เขาจะเข้าใจเร็ว ส่วนผมก็จะประมวลก่อน อันไหนไม่เข้าใจก็ถามเขา”

“แจม” กดดันไหม เราเป็นที่รู้จักเร็ว?

 “แจม รชตะ – ฟิล์ม ธนภัทร” คนละขั้วแต่ลงตัว ทำงานจนรู้ใจ ไม่คิดจะมาไกลขนาดนี้

แจม : “ตอนแรกๆ ก็กดดันครับ ไม่รู้จะทำตัวยังไง ทำตัวไม่ถูก ยังคิดว่าเราเป็นน้องเล็กอยู่ พออยู่ไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าไม่ต้องกดดันหรอก เป็นตัวของตัวเอง มั่นใจทำงาน ผิดก็ผิดล้วก็แก้ให้ถูก ผมก็มีขอคำปรึกษาพี่ฟิล์มเรื่อยๆ เช่น เคล็ดลับการดูแลตัวเอง เรื่องงานไม่ค่อยได้ปรึกษา เพราะส่วนใหญ่พี่ฟิล์มเขาก็จะบอกเอง อยู่ที่ผมจะทำตามหรือไม่ทำตาม (หัวเราะ)”

ฟิล์ม : “ตามนั้นครับ (ยิ้ม)”

แจม : “กับพี่ฟิล์ม ผมไม่กดดันแล้ว อยู่ด้วยกันนานแล้ว พี่ฟิล์มเขาจะเป็นคนที่ละเอียดกับทุกอย่าง ผมก็ซึมซับเรื่องการทำงาน แต่เรื่องอื่นไม่ค่อย (หัวเราะ) คือผมจะมีแพลนว่าจะทำอันนี้ในวันนี้ บางทีแพลนผมอาจจะมั่วๆ ไปก็ได้ ไม่ได้ตามแพลน แต่พี่ฟิล์มเขาจะเป๊ะ”

เราสองคนเป็นคนละขั้ว?

แจม : “ใช่ ไม่เหมือนๆ”

ฟิล์ม : “เหมือนเด็กต่างโรงเรียน คือเราไม่ได้จูนให้ต้องมาเหมือนกัน แต่จูนให้อยู่ด้วยกันได้มากกว่า ตรงกลางของเราคือความเข้าใจ เพราะถ้าเข้าใจแล้วก็เป็นอย่างที่ผมเล่าเมื่อกี้ว่า แรกๆ อาจจะมีการโกรธกัน เพราไม่ถูกใจ แต่พออยู่ด้วยกันไป ถ้าเราอยู่กับความรู้สึกโกรธ ความรุ้สึกไม่พอใจ มันทำให้เรารู้สึกแย่เอง แล้วเขาก็ไม่ได้รู้สึกดีด้วย หลังๆ มันเลยเป็นการที่พอเราเข้าใจว่าเขาเป็นคนแบบนี้ เขาไม่ได้ผิด แค่เป็นสิ่งที่เราไม่ชอบ เราก็แค่ยอมรับแค่นั้นเอง”

“แจม” ตามใจพี่และใช้ความนิ่งสยบทุกอย่าง?

แจม : “ไม่ได้ตามใจ แต่มันเป็นความเข้าใจกัน ผมไม่ได้เป็นคนคิดอะไรเยอะ ผมก็นิ่งๆ”

ฟิล์ม : “คือเราต้องเข้าใจว่า โลกใบนี้เราไม่มีความสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างบนโลกได้ อะไรที่เปลี่ยนไม่ได้ก็แค่ยอมรับ แล้วก็ปลง”

แจม: “เมื่อก่อนผมไม่เป็นแบบนี้นะ ตอนที่ผมเป็นครู จำได้ว่าเทอมแรกผมต้องการให้นักเรียนเป็นแบบที่ผมสอนทุกอย่าง ผมเครียดมาก ผมเรียนมา 5 ปี ทำไมนักเรียนทำไม่ได้แบบที่ผมบอก ผมก็นั่งดูว่าผมสอนอะไรผิด ผมซีเรียสจนรู้สึกว่าตัวเองเครียดเกินไป ความดันขึ้นเลย (หัวเราะ) ผมก็เลยกลับไปถามอาจาร์ที่มหาวิทยาลัย เขาก็บอกว่าคนที่เราสอนมีอยู่เยอะ เราจะทำทุกอย่างให้เขาเป็นเหมือนเราไม่ได้ ตั้งแต่วันนั้นผมก็ปลง”

ทำงานร่วมกันสนิทกันมากขึ้นไหม?

แจม : “สนิทๆ เราก็รู้จักกันมากขึ้น ทำงานด้วยกัน ผ่านอะไรต่ออะไรมาด้วยกันหมด ไม่ใช่แค่ละครนะ ผมก็รู้ว่าเขาเป็นแบบนี้ รู้ว่าปลง เราผ่านอะไรมาด้วยกันเยอะ โปรเจ็กต์งานต่างๆ ก็รู้จักกันมากขึ้น ถามว่ามีโกรธ มีงอนไหมเหรอ ก็มีบ้าง แต่แป๊ปๆ ก็เข้าใจ เพราะโตๆ กันแล้ว”

ฟิล์ม : “สนิทๆ ก้าวข้ามผ่านจุดนั้นมาแล้ว ต้องบอกว่าในมุมที่เขาดีขึ้นก็มี ประสบการณ์หลายๆ อย่างที่เขาได้เรียนรู้มันก็ทำให้เขาเติบโตขึ้น แต่ว่ามันก็ยังมีอีกหลายๆ อย่างในมุมของเรา ที่เรารู้สึกว่ามันดีต่อการทำงานของเขา ต้องเป้นแบบนี้แหละ บางสิ่งบางอย่างทีเราพูดไป คนสอนมีหน้าที่แค่สอนแหละ เราก็ทำให้ดีที่สุดในทางของตัวเอง แต่ว่าที่เราบอกเขาตัวเขาจะทำหรือไม่ทำก็อีกเรื่องนึง ที่บอกว่าปลงคือพูดเรื่องจริง บางทีเรารู้สึกว่าไม่เป็นไรชีวิตเขา วันนี้เขาไม่เรียนรู้ วันหน้าเขาก็ต้องเจอ แต่ว่าในมุมที่เขาเติบโตมันก็จะมีในมุมดีเทลการทำงาน เรื่องของความตั้งใจที่เราเองก็ได้เห็นว่าเขาเองก็ได้เติบโตตามวิถีของเขา เราสองคนไม่เหมือนกัน ผมแค่เรียนรู้ที่จะเข้าใจเขา อะไรที่สอนให้เขาได้เราก็สอน สิ่งที่เราจะได้มาคือความภูมิใจในวันที่เขาเติบ ถ้าวันนี้เขาไม่ได้เรียนรู้ วันหน้าเขาก็ต้องพบเจอด้วยตัวเอง วันนี้เราทำงานด้วยกัน อะไรที่ผลักดันได้เราก็ทำ แล้ววันนึงเขาก็ต้องไปผลักดันคนอื่น”

ความนิยมของคู่เรายังแรงอยู่ รู้สึกยังไงบ้าง มันเกินความคาดหมาย เกินความคาดหวังไหม?

ฟิล์ม : “เกินไปเยอะเลย ผมยังไม่เคยประสบความสำเร็จด้านวงการบันเทิงขนาดนี้ เป็นครั้งแรกของผมเหมือนกัน ก็รู้สึกว่าตอนนั้นทำแค่งาน ไม่ได้มาคิดว่าตัวเองจะดังหรือไม่ดัง พอเป็นกระแสขึ้นมาก็เกินเส้นที่วางไว้มากๆ แล้วก็ทุกวันนี้ไม่อยากคิดแล้วว่าวันสุดท้ายมันอยู่วันไหน ที่มันจะสิ้นสุด ที่แฟนๆ จะไม่มาตามพวกเราแล้ว ทุกวันนี้ใช้ชีวิตให้มีความสุขดีกว่า ทำให้แฟนที่มาหาเรามีความสุขดีกว่า ผมคิดแค่นี้ เพราะมันเกิดความคาดหวังของเรามาเยอะแล้ว”

ฟิล์ม : “ผมผ่านทุกรูปแบบมาแล้ว กับตอนนี้ก็เกินความคาดหวังของผมนะ ไม่คิดว่าฟีดแบคจะออกมาเป็นแบบนี้มากกว่า (เราเคยดังข้ามคืน วันนี้ดังอีกแบบนึง?) อย่างที่ผมบอกว่าผมไม่ได้คาดหวังว่าจะดังแล้วมาในเวย์นี้ ผมรู้สึกว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แค่ละครเป็นที่ยอมรับ คนชอบผลงานเรา สนับสนุนผลงานเราสองคน ผมแฮปปี้แล้ว แค่นั้นเลย มันเกินความคาดหวังที่เราคิดไปอีกเวย์นึงมากกว่า เหมือนเป็นการเปิดโลกใบใหม่ของเรา ก็แค่สนุกไปกัยมันแล้วก็ตั้งใจทำงานเท่าที่เรารับงานมา”

ในอนาคตคู่เรายังจะมีโอกาสไปต่อไหม?

ฟิล์ม : “ผมว่ามันขึ้นอยู่กับจังหวะและเวลามากกว่าครับ มันเป็นเรื่องของอนาคต”

แจม : “ผมว่านักแสดงมีโอกาสวนกลับมาอยู่แล้วแหละ ฝากติดตามผลงานของพวกเราด้วยนะครับ ไม่ว่าจะงานเดี่ยวหรือในอนาคตหากมีโอกาสได้กลับมาเจอกันอีก”

By admin

Related Post